บทความที่น่าสนใจ

Last updated: 28 ก.ย. 2558  |  1997 จำนวนผู้เข้าชม  | 



0:11 หนึ่งในความทรงจำแรกๆ ของผม คือการพยายามปลุกญาติผมคนหนึ่งให้ตื่น แต่ผมก็ทำไม่สำเร็จ ตอนนั้นผมยังเด็ก จึงไม่ค่อยเข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร แต่เมื่อผมโตขึ้น ผมก็ตระหนักว่าเรามีปัญหา การเสพติดยาภายในครอบครัว และต่อมาก็เสพติดโคเคน

0:24 ผมคิดถึงเรื่องนี้หลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ นี่นับเป็นเวลาครบ 100 ปี นับตั้งแต่ยาเสพติดกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ในอเมริกาและอังกฤษ และต่อมาประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ก็เจริญรอยตาม หนึ่งศตวรรษที่เราตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ที่จะต้องจับกุมผู้เสพ ลงโทษ และสร้างความทรมานแก่พวกเขา เพราะเราเชื่อว่า นั่นจะยับยั้งพวกเขา มันจะปรามให้พวกเขาหยุด

0:47 เมื่อสองสามปีที่แล้ว ผมศึกษาผู้ติดยา ที่ผมเคยรู้จัก และเป็นที่รักของผม และพยายามที่จะคิดหาหนทางเพื่อช่วยพวกเขา และผมก็ตระหนักว่า มันมีคำถามพื้นๆ อย่างไม่น่าเชื่อมากมาย ที่ผมไม่รู้คำตอบ เช่น อะไรคือต้นเหตุของการเสพติด ทำไมเราจึงยังคงใช้วิธีจัดการ ที่ดูเหมือนจะไร้ผล และมันมีวิธีอื่นๆ ที่ดีกว่านี้ ที่เราจะลองหรือไม่

1:09 ผมจึงอ่านหนังสือเป็นตั้งๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และผมก็ไม่สามารถหาคำตอบที่ต้องการได้ ผมจึงคิดว่า เอาล่ะ ผมจะออกไปพบ ผู้คนหลากหลายจากทั่วโลก ที่อยู่ในวงการนี้ และศึกษาเรื่องนี้ และคุยกับพวกเขา ลองดูว่าผมจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง ตอนแรกผมไม่ได้ตระหนักว่า ผมจะต้องเดินทางกว่า 30,000 ไมล์ แต่ท้ายสุดแล้ว ผมได้พบผู้คนหลากหลาย ตั้งแต่กะเทยแปลงเพศนักค้าโคเคน ในเมือง บราวส์วิลล์ บรูคลิน ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์ผู้ใช้เวลามากมาย ไปกับการป้อนยาหลอนประสาทให้พังพอน เพื่อดูว่าพวกมันชอบหรือเปล่า -- ปรากฏว่าพวกมันชอบ แต่เฉพาะในบางสถานการณ์เท่านั้น ผมยังเดินทางไปยังประเทศหนึ่งเดียว ที่ยกเลิกให้ยาเสพติดทุกประเภทเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ตั้งแต่กัญชาไปจนถึงโคเคน นั่นคือโปรตุเกส และสิ่งที่ผมค้นพบ ซึ่งต้องทำให้ผมประหลาดใจ นั่นคือ เกือบทุกอย่างที่เรารู้มา เกี่ยวกับพฤติกรรมเสพติดนั้นผิด และถ้าเรายอมรับหลักฐานใหม่ๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมเสพติด ผมคิดว่าเราจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ไม่เฉพาะแค่กับนโยบายเรื่องยาเสพติดเท่านั้น

1:57 เรามาเริ่มกับสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้ สิ่งที่ผมเคยคิดว่าผมรู้ ลองมาคิดดูกันเล่นๆ กับผู้ฟังที่นั่งแถวกลางตรงนี้ จินตนาการว่าพวกคุณทั้งหมด เป็นผู้ใช้เฮโรอีนวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันมา 20 วันแล้ว พวกคุณบางคนดูเหมือนจะกระตือรือล้นเป็นพิเศษ กับเรื่องนี้นะครับ (เสียงหัวเราะ) อย่ากังวลครับ นี่เป็นแค่การทดลองเชิงความติด จินตนาการแล้วใช่ไหมครับ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เราต่างได้ยินเรื่องราวว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องซึ่งถูกเล่ากันนานเป็นศตวรรษ เราคิดว่า มันมีสารเคมีเสพติดบางอย่าง ในเฮโรอีน ที่เมื่อคุณใช้มันไปสักพัก ร่างกายคุณจะต้องพึ่งสารนั้น ในทางกายภาพ ร่างกายคุณต้องการมัน และหลังจากครบ 20 วัน พวกคุณทุกคนจะเสพติดเฮโรอีน ใช่ไหมครับ นั่นเป็นสิ่งที่ผมคิด

2:33 สิ่งแรกที่ทำให้ผมเอะใจว่ามีบางอย่าง ที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือเมื่อมันถูกอธิบายให้ผมฟัง ถ้าผมก้าวลงจากเวที TED วันนี้ และถูกรถชน จนกระดูกสะโพกหัก ผมจะถูกนำส่งโรงพยาบาล และถูกฉีดยาไดอะมอร์ฟีนเป็นปริมาณนมาก ไดอะมอร์ฟีนคือเฮโรอีน มันเป็นเฮโรอีน ที่ดีกว่าแบบที่คุณหาซื้อตามข้างถนน เพราะสิ่งที่คุณซื้อจากพ่อค้ายานั้นปนเปื้อน จริงๆ มันแล้วมีเฮโรอีนอยู่เป็นส่วนน้อยเท่านั้น แต่สิ่งที่คุณได้รับจากหมอนั้นเป็นสารบริสุทธิ์ และคุณจะได้รับมันเป็นเวลานานทีเดียว มีคนมากมายในห้องนี้ คุณอาจไม่รู้ตัว คุณได้เสพเฮโรอีนเข้าไปแล้วเป็นปริมาณมาก และสำหรับผู้ที่กำลังดูวีดีโอนี้อยู่ ไม่ว่าที่ใดก็ตามในโลก สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น และถ้าความเชื่อของเรา เรื่องพฤติกรรมเสพติดนั้นถูกต้อง ผู้คนเหล่านั้นจะได้รับสารเคมีเสพติดที่ว่านั้น อะไรจะเกิดขึ้นตามมา พวกเขาควรเป็นผู้เสพติด สิ่งนี้ได้รับการศึกษาอย่างละเอียด มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น คุณคงจะสังเกตเห็น หากคุณย่าของคุณต้องเปลี่ยนข้อสะโพก ท่านไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลในสภาพขี้ยา (เสียงหัวเราะ)

3:24 และเมื่อผมรู้เรื่องนี้ มันฟังดูแปลกมากสำหรับผม มันขัดแย้งกับทุกสิ่งที่ผมเคยได้ยินมา ทุกอย่างที่ผมคิดว่าผมรู้ ผมคิดว่ามันคงมีอะไรไม่ชอบมาพากล จนกระทั่งผมได้พบชายชื่อ บรูซ อเล็กซานเดอร์ เขาเป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา ในแวนคูเวอร์ ผู้ซึ่งได้ทำการทดลองอันน่าที่ง ซึ่งผมคิดว่ามันช่วยให้เราเข้าใจเรื่องนี้ได้ ศาสตราจารย์ อเล็กซานเดอร์ อธิบายให้ผมฟังว่า แนวคิดเรื่องพฤติกรรมเสพติดที่เราถูกปลูกฝังมา เรื่องเล่าดังกล่าวนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการทดลองชุดหนึ่ง ซึ่งถูกทดลองเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 มันเป็นการทดลองที่ง่ายมาก คุณสามารถเอากลับไปทดลองที่บ้านคืนนี้ได้ ถ้าคุณเป็นพวกซาดิสอะนะ ให้คุณเอาหนูตัวหนึ่ง เอาใส่ไว้ในกรง แล้วเอาขวดน้ำสองขวดให้มัน ขวดหนึ่งเป็นน้ำเปล่า ส่วนอีกขวดหนึ่ง เป็นน้ำผสมเฮโรอีน หรือโคเคน ถ้าคุณทำเช่นนั้น หนูมักจะกินน้ำ ที่มียาผสมอยู่แทบทุกครั้ง และมักจะตายอย่างรวดเร็วเสมอ นั่นไงล่ะ ข้อสรุป นั่นคือสิ่งที่เราคิดว่ากลไกมันเป็น ในทศวรรษที่ 70 ศาสตราจารย์ อเล็กซานเดอร์ ได้ศึกษาการทดลองนี้ และเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขากล่าวว่า เราเอาหนูไปขังไว้ในกรงเปล่า มันไม่มีอะไรจะทำ นอกเสียจาก การเสพยาเสพติดเหล่านี้ เรามาทดลองบางอย่าง ที่แตกต่างออกไปสักหน่อย ศาสตราจารย์ อเล็กซานเดอร์จึงสร้างกรง ซึ่งเขาเรียกมันว่า "สวนสำหรับหนู" ง่ายๆ คือ มันเป็นสวรรค์ของเหล่าหนู พวกมันมีชีสมากมาย พวกมันมีลูกบอลหลากสี และมีอุโมงค์มากมาย ที่สำคัญ พวกมันมีเพื่อนเยอะแยะ และพวกมันจะมีเซ็กซ์ได้บ่อยๆ และพวกมันก็มีน้ำสองขวด น้ำเปล่า และน้ำผสมยา สิ่งที่น่าตื่นเต้นก็คือ ในสวนสำหรับหนู พวกมันไม่ชอบน้ำผสมยา พวกมันแทบไม่เคยดื่มมันเลย และไม่มีหนูตัวไหนที่ใช้มันจนเป็นนิสัย ไม่มีหนูตัวไหนได้รับยาเกินขนาด อัตราการตายจากการได้รับยาเกินขนาด ลดลงจาก 100% เมื่อมันถูกขังแยก เหลือ 0% เมื่อมันมีชีวิตที่มีความสุข และมีสังคม

4:58 เมื่อศาสตราจารย์ อเล็กซานเดอร์ เห็นผลการทดลองนี้ เขาคิดว่า นี่อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะกับหนู พวกมันแตกต่างจากเรามาก บางทีอาจไม่แตกต่างมากเท่าที่เราต้องการ แต่นับเป็นโชคดี ที่เคยมีการทดลองในมนุษย์ ตั้งอยู่บนหลักการเดียวกัน และเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน การทดลองนี้มีชื่อว่า สงครามเวียตนาม ในเวียตนาม 20% ของทหารอเมริกัน ใช้เฮโรอีนจำนวนมาก และถ้าคุณดูรายงานข่าวจากช่วงเวลานั้น พวกเขาเป็นกังวลกันมาก เพราะพวกเขาคิดว่า พระเจ้า นี่เรากำลังจะมีขี้ยาเป็นแสนๆ คน ตามท้องถนนในสหรัฐฯ เมื่อสงครามสิ้นสุดลง และมันก็ฟังดูมีเหตุผล เมื่อกลับมายังบ้านเกิด ทหารผู้ใช้เฮโรอีน จำนวนมากเหล่านั้นถูกติดตามเฝ้าสังเกต วารสาร Archives of General Psychiatry ตีพิมพ์ผลศึกษาโดยละเอียด และเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาน่ะหรือ ปรากฏว่าพวกเขาไม่ได้เข้ารับการบำบัด พวกเขาไม่มีอาการถอนยา 95% ของพวกเขาเลิกใช้ยาเอาเสียเฉยๆ ทีนี้ ถ้าคุณเชื่อในเรื่องสารเคมีเสพติด เรื่องนี้มันจะฟังดูเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ศาสตราจารย์ อเล็กซานเดอร์ กลับเริ่มคิดว่า มันอาจมีเรื่องราวที่ต่างออกไป ที่อธิบายเรื่องพฤติกรรมเสพติด เขากล่าวว่า หากการเสพติด ไม่ได้เกิดจากสารเคมี หากแต่เกิดจากสภาพแวดล้อมของคุณล่ะ หากการเสพติด คือการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม

6:03 ลองดูทางนี้ มีศาสตราจารย์อีกท่านหนึ่ง ชื่อ ปีเตอร์ โคเฮน จากเนเธอแลนด์ ผู้กล่าวไว้ว่า บางทีเราไม่ควรเรียกมันว่า การเสพติด ด้วยซ้ำ บางทีเราควรเรียกมันว่า ความผูกพัน มนุษย์นั้น โดยธรรมชาติแล้วมีความต้องการลึกๆ ที่จะสร้างความผูกพัน และเมื่อเรามีความสุข มีสุขภาพดี เราจะผูกพัน และสร้างสัมพันธ์กับคนอื่นๆ แต่ถ้าคุณทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะคุณบาดเจ็บ หรือถูกโดดเดี่ยว หรือผิดหวังกับชีวิต คุณจะผูกพันกับบางอย่าง ซึ่งจะมอบความรู้สึกปลดปล่อยให้กับคุณ มันอาจเป็นการพนัน อาจเป็นหนังโป๊ อาจเป็นโคเคน อาจเป็นกัญชา แต่คุณจะต้องผูกพันกับบางอย่าง เพราะนั่นคือธรรมชาติของเรา นั่นคือสิ่งที่เราต้องการในฐานะมนุษย์

6:39 ในตอนแรก มันยากสำหรับผม ที่จะทำความเข้าใจเรื่องนี้ แต่ทางหนึ่งที่ช่วยให้ผมเข้าใจมัน ก็คือ ผมเห็นว่า ผมมีขวดน้ำวางอยู่ข้างๆ เก้าอี้ของผม ใช่ไหมครับ และผมก็เห็นว่าพวกคุณหลายๆ คน ก็มีขวดน้ำเช่นกัน ลืมเรื่องยาเสพติด ลืมเรื่องสงครามต่อสู้กับยาเสพติด และขวดเหล่านั้นอาจเป็นขวดวอดก้า โดยไม่ผิดกฏหมายก็ได้ ถูกไหมครับ เราทุกคนอาจจะเมากันหมด ผมก็คงจะเมาด้วย หลังบรรยายเสร็จ (เสียงหัวเราะ) แต่เราก็ไม่เมา ถ้าพวกคุณต่างสามารถจ่ายเงินมหาศาล เพื่อเข้าร่วมฟังการบรรยาย TED ผมก็เดาว่าคุณคงจะสามารถจ่ายเงิน ซื้อวอดก้ามาดื่มได้สัก 6 เดือน คุณคงไม่กลายเป็นคนจรจัด คุณคงไม่ทำเช่นนั้น และสาเหตุที่คุณไม่ทำเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เพราะมีใครมาห้ามคุณ นั่นเป็นเพราะคุณมีพันธะผูกพัน และความสัมพันธ์ ที่คุณอยากจะได้รับ คุณมีงานที่คุณรัก คุณมีผู้คนที่คุณรัก คุณมีความสัมพันธ์ที่ดี และหลักสำคัญของพฤติกรรมเสพติด ที่ผมคิดได้ และผมเชื่อว่า หลักฐานต่างๆ ได้ชี้ให้เห็น คือการไม่สามารถทนต่อสิ่งต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตได้

7:37 นี่มันมีนัยยะที่สำคัญ นัยยะที่ชัดเจนที่สุด ก็คือโครงการสงครามยาเสพติด ในอริโซนา ผมได้เดินทางไปกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง ผู้ซึ่งถูกให้สวมใส่เสื้อยีดที่มีข้อความเขียนว่า "ฉันเคยติดยา" และถูกล่ามโซ่เข้าด้วยกันและส่งไปขุดศพในป่าช้า ในขณะที่ผู้คนต่างถากถางพวกเธอ และเมื่อหญิงเหล่านั้นพ้นคุกออกมา พวกเธอก็จะมีประวัติอาชญากร นั่นหมายความว่าพวกเธอจะไม่สามารถ ทำงานที่ถูกฎหมายได้อีกต่อไป นั่นคงเป็นตัวอย่างแบบสุดโต่ง ในกรณีของการล่ามโซ่แล้วส่งไปทำงานหนัก แต่จริงๆ แล้ว แทบทุกที่ในโลก เราปฏิบัติต่อผู้ติดยา ในลักษณะคล้ายๆ กัน เราลงโทษพวกเขา ทำให้อับอาย เราบันทึกประวัติอาชญากร เราสร้างกำแพงกั้นไม่ให้เขาเชื่อมสัมพันธ์ ในแคนาดา มีหมอที่ยอดเยี่ยมมากอยู่ท่านหนึ่ง ดร.กาบอร์ มาเท (Dr.Gabor Maté) เขากล่าวกับผมว่า ถ้าคุณจะออกแบบระบบ ที่ทำให้พฤติกรรมเสพติดนั้นแย่ลงกว่าเก่า คุณคงออกแบบระบบนั้น

8:23 แต่มีอยู่ที่หนึ่งที่ตัดสินใจจะทำในสิ่งตรงกันข้าม และผมก็ไปยังที่นั่น เพื่อศึกษาว่ามันได้ผลอย่างไร ในปี ค.ศ. 2000 โปรตุเกสเป็นประเทศ ที่มีปัญหายาเสพติดเลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของประชากรเสพติดเฮโรอีน ฟังดูแล้วอาจน่าตกใจ ทุกๆ ปี พวกเขาทดลอง ใช้วิธีแบบชาวอเมริกันมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาลงโทษผู้คน ตีตราบาปให้พวกเขา และทำให้อับอายยิ่งขึ้นไปอีก และทุกๆ ปี ปัญหาก็แย่ลง แล้ววันหนึ่ง นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าฝ่ายค้านก็มานั่งคุยกัน และกล่าวทำนองว่า ดูสิ ประเทศเราจะดำเนินต่อไปไม่ได้ ถ้าผู้คนในประเทศเสพติดเฮโรอีนมากขึ้นเรื่อยๆ เรามาจัดตั้งคณะกรรมการ ที่ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์และแพทย์ เพื่อที่จะค้นหาวิธีแก้ปัญหาอย่างแท้จริง และพวกเขาก็ตั้งคณะกรรมการ นำโดย ดร. ฮัว กูลาว (Dr. João Goulão) เพื่อศึกษาหลักฐานใหม่ๆ เหล่านี้ พวกเขากลับมาพร้อมกล่าวว่า "ให้ยาเสพติดทุกประเภทให้เป็นสิ่งถูกกฏหมาย ตั้งแต่กัญชาไปจนถึงโคเคน แต่" -- และนี่เป็นขั้นต่อไปที่สำคัญ "เอางบประมาณที่เคยใช้เพื่อปิดกั้นผู้ติดยา เพื่อตัดพวกเขาออกจากสังคม ไปใช้เพื่อเชื่อมพวกเขากลับเข้าสู่สังคม และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เราคิด เกี่ยวกับการรักษาผู้ติดยา ในสหรัฐฯ และอังกฤษ พวกเขามีศูนย์บำบัดยาเสพติด พวกเขาทำการฟื้นฟูสภาพจิตใจ ซึ่งพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเขาทำ กลับเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับที่เราทำ นั่นคือโครงการขนาดใหญ่ เพื่อสร้างงานแก่ผู้ติดยา และสินเชื่อรายย่อยสำหรับผู้ติดยา เพื่อตั้งธุรกิจขนาดย่อม สมมติว่าคุณเคยเป็นช่างเครื่องยนต์ เมื่อคุณพร้อม พวกเขาจะไปหาอู่รถสักแห่ง และบอกกับเจ้าของอู่ว่า ถ้าคุณจ้างหมอนี่เป็นเวลาหนึ่งปี เราจะช่วยคุณจ่ายเงินเดือนให้เขาครึ่งหนึ่ง เป้าหมายคือความมั่นใจ ว่าผู้ติดยาทุกคนในโปรตุเกส มีอะไรให้ทำในทุกเช้าที่เขาตื่นนอน และเมื่อผมไปยังโปรตุเกส และพบกับผู้ติดยา สิ่งที่พวกเขาพูดก็คือ ในขณะที่พวกเขา กลับมาค้นพบเป้าหมายในชีวิต พวกเขาได้ค้นพบความผูกพัน และความสัมพันธ์กับสังคมในวงกว้างขึ้น

10:00 มันจะครบรอบ 15 ปีในปีนี้ นับตั้งแต่การทดลองได้เริ่มขึ้น และผลการทดลองก็คือ การใช้ยาเสพติดประเภทใช้เข็มฉีดในโปรตุเกสลดลง ตามวารสารอาชญาวิทยาแห่งอังกฤษ (British Journal of Criminology) ลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ การใช้ยาเกินขนาดลดฮวบ เช่นเดียวกับการติดเชื้อ HIV ระหว่างผู้เสพ การเสพติดในทุกๆ การศึกษา ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทางหนึ่งที่คุณจะรู้ว่ามันได้ผล ก็คือ แทบไม่มีใครในโปรตุเกส อยากกลับไปใช้ระบบแบบเก่า

10:23 นั่นมีความหมายในเชิงการเมือง จริงๆ แล้วผมคิดว่ามันมีนัยแฝงอยู่หลายชั้น สำหรับงานวิจัยเหล่านี้ เราอาศัยอยู่ในวัฒนธรรมที่ซึ่งผู้คน กำลังรู้สึกอ่อนแอลงเรื่อยๆ ต่อการเสพติดทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน การช้อปปิ้ง หรือการกิน ก่อนที่จะเริ่มการบรรยายนี้ -- พวกคุณก็รู้เรื่องเหล่านี้ -- พวกเราถูกห้ามไม่ให้เปิดโทรศัพท์ และผมขอบอกว่า พวกคุณหลายคนทำท่าทางเหมือนกับ คนติดยาที่ได้ข่าวมาว่า พ่อค้ายาของพวกคุณจะไม่ว่าง เป็นเวลาอีก 2-3 ชั่วโมง (เสียงหัวเราะ) พวกเราหลายคนรู้สึกเช่นนั้น และมันอาจฟังดูแปลกที่จะพูดว่า ผมได้พูดเกี่ยวกับการตัดขาดจากสังคม ว่าเป็นสาเหตุใหญ่ของการเสพติด และมันอาจฟังดูแปลก ที่พูดว่าปัญหากำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ เพราะคุณคงติดว่าเราเป็นสังคม ที่เชื่อมโยงกันมากที่สุด แน่นอนล่ะ แต่ผมเริ่มคิดว่า เรามีการเชื่อโยงเหล่านั้น หรือที่เราคิดว่าเรามี เป็นแค่การล้อเลียนการเชื่อมโยงของมนุษย์ ถ้าคุณมีวิกฤตในชีวิตคุณ คุณจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จะไม่มีคนที่ติดตามทวิตเตอร์ของคุณ คนไหนมานั่งข้างคุณ จะไม่มีเพื่อเฟซบุ๊คคนไหนมาช่วยแก้วิกฤตนั้น จะมีก็แต่เพื่อตัวเป็นๆ ของคุณ ที่คุณรู้จักกับเขา แบบคุ้นหน้าค่าตา รู้จักกันดี อย่างแน่นแฟ้น ลึกซึ้ง มีการศึกษาหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จาก บิล แม็คคิบเบน นักเขียนเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่ผมคิดว่ามันบอกอะไรเราหลายๆ อย่าง เขาศึกษาจำนวนเพื่อนสนิท ที่คนอเมริกันโดยเฉลี่ย เชื่อว่าพวกเขาสามารถโทรหาได้ในยามวิกฤต จำนวนที่ว่านั้นค่อยๆ ลดลง อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยุคที่ 1950 เนื้อที่ที่ผู้คนมีในบ้านของเขา มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่านั่นมันเป็นเหมือนอุปมาอุปมัย สิ่งที่เราเลือกเป็นวัฒนธรรมของเรา เราแลกที่ว่างในบ้านกับเพื่อน เราแลกข้าวของต่างๆ กับความสัมพันธ์ และผลก็คือ เรากลายเป็นสังคมที่โดดเดี่ยวที่สุด เท่าที่เคยมีมา และ บรูซ อเล็กซานเดอร์ ผู้ทำการทดลองเรื่องสวนสำหรับหนู กล่าวว่า เราพูดกันตลอด ในเรื่องปัญหาการเสพติด เกี่ยวกับการฟื้นฟูระดับบุคคล และมันก็ถูกต้องที่จะคุยกันเรื่องนั้น แต่เราต้องคุยกันมากขึ้น เกี่ยวกับเรื่องการฟื้นฟูสังคม เกิดความผิดพลาดบางอย่างกับพวกเรา ไม่ใช่แค่ในระดับบุคคล แต่เป็นในระดับกลุ่ม เราได้สร้างสังคม ที่สำหรับพวกเราแล้ว ชีวิตยิ่งคล้ายกับกรงขังเดี่ยวมากขึ้นทุกวัน และนับวันยิ่งออกห่าง จากสภาพสวนสำหรับหนู

12:15 ผมต้องสารภาพว่า จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่เหตุผลที่ผมศึกษาเรื่องนี้ ผมไม่ได้อยากค้นพบ เรื่องทางการเมืองและสังคมพวกนี้ ผมต้องการจะรู้ว่าผมจะช่วยผู้คน อันเป็นที่รักได้อย่างไร และเมื่อผมกลับมาจากการเดินทาง อันแสนยาวนาน ผมก็ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ ผมย้อนกลับมามองคนติดยาที่ผมรู้จัก และถ้าจะพูดตรงๆ แล้วล่ะก็ มันยากที่จะรักคนติดยา และอีกหลายคนในห้องนี้ ก็คงจะรู้เช่นกัน คุณรู้สึกโมโหแทบตลอดเวลา และผมคิดว่าสาเหตุหนึ่งว่าทำไมการโต้เถียงกันเรื่องนี้ ต้องเต็มไปด้วยอารมณ์ นั่นก็เพราะปัญหานี้ มันเสียดแทงใจพวกเราทุกคน ใช่ไหมครับ ทุกๆ คนคงเคยรู้สึกแบบนี้ ที่เมื่อมองเห็นผู้ติดยา และคิดในใจว่า ฉันอยากให้ใครสักคนมาหยุดเธอ และบทแบบนี้แหละที่เราถูกปลูกฝัง ว่าควรจัดการกับผู้ติดยาอย่างไร มันกลายเป็นสูตรสำเร็จไปแล้ว โดยรายการเรียลลิตี้โชว์ชื่อ "การแทรกแซง" (Intervention) ผมคิดว่าทุกอย่างในชีวิตเราได้ถูกกำหนด โดยรายการเรียลลิตี้ไปเสียแล้ว แต่นั่นคงเป็นการบรรยาย TED อีกเรื่องหนึ่งนะครับ ถ้าคุณเคยดูรายการที่ว่านี้ โครงเรื่องมีง่ายๆ เอาผู้ติดยามาสักคนหนึ่ง พร้อมด้วยคนรอบข้างของบุคคลนั้น ให้มาเผชิญหน้ากัน โดยคนรอบข้างจะพูดทำนองว่า ถ้าคุณไม่ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น พวกเราจะตัดหางคุณ สิ่งที่พวกเขาทำก็คือ พวกเขาหยิบเอาความสัมพันธ์ขึ้นมา แล้วขู่จะตัดความสัมพันธ์นั้นทิ้ง พวกเขายกมันมาเป็นเงื่อนไข เพื่อให้ผู้ติดยาประพฤติตัว ตามที่พวกเขาต้องการ และผมเริ่มเห็นแล้วว่า ทำไมวิธีแบบนั้นจึงใช้ไม่ได้ผล นั่นมันเหมือนการเอาแนวคิด จากสงครามยาเสพติด เอามาใช้กับชีวิตส่วนตัวของเรา

13:33 ผมเริ่มคิดว่า ทำอย่างไร จึงจะเป็นได้อย่างชาวโปรตุเกส และสิ่งที่ผมพยามทำอยู่ตอนนี้ ผมต้องบอกว่าผมไม่ได้ทำเป็นประจำ และมันไม่ง่ายนัก คือการบอกกับผู้ติดยาในครอบครัวผม ว่าผมอยากเชื่อมความสัมพันธ์ กับเขาให้แน่นแฟ้นขึ้น บอกพวกเขาว่า ผมรักคุณ ไม่ว่าคุณจะเสพยาหรือไม่ก็ตาม ผมรักคุณ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสภาพไหน และถ้าคุณต้องการผม ผมจะคอยอยู่ข้างๆ เพราะผมรักคุณและไม่ต้องการ ให้คุณโดดเดี่ยว หรือรู้สึกโดดเดี่ยว

14:00 และผมคิดว่าใจความสำคัญของข้อความ ก็คือ คุณไม่ได้อยู่ลำพัง เรารักคุณ หลักนี้ต้องอยู่ในทุกระดับ ของมาตรการที่เราใช้กับผู้ติดยา ไม่ว่าจะเป็นในระดับสังคม การเมือง หรือระดับบุคคล เป็นเวลา 100 ปีแล้ว ที่เราลั่นกลองรบกับผู้ติดยา ผมกลับคิดว่า นเราควรจะร้องเพลงรักให้พวกเขาแทน เพราะสิ่งที่ตรงข้ามกับการเสพติด ไม่ใช่การทำตัวสงบเสงี่ยม แต่สิ่งที่ตรงข้ามกับการเสพติด คือความสัมพันธ์

14:27 ขอบคุณครับ

14:29 (เสียงปรบมือ)

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้